Home แฟชั่น ดีไซเนอร์อังกฤษ: กำลังยึดหัวหาดวงการแฟชั่นโลกจริงดิ? เจาะลึก The Fashion Awards สู่บัลลังก์ Dior-Hermès!

ดีไซเนอร์อังกฤษ: กำลังยึดหัวหาดวงการแฟชั่นโลกจริงดิ? เจาะลึก The Fashion Awards สู่บัลลังก์ Dior-Hermès!

0
5
ดีไซเนอร์อังกฤษ: กำลังยึดหัวหาดวงการแฟชั่นโลกจริงดิ? เจาะลึก The Fashion Awards สู่บัลลังก์ Dior-Hermès!

ถ้าคุณรู้สึกว่าช่วงนี้เปิดฟีดแฟชั่นไปทางไหนก็เจอชื่อ Jonathan Anderson, Grace Wales Bonner, Sarah Burton โผล่มาแทบทุกงานรางวัล… คุณไม่ได้คิดไปเองเลย เพราะปี 2025 นี้คือจุดที่ “แก๊งดีไซเนอร์สายอังกฤษ” กำลังขึ้นมายึดหัวหาดวงการแฟชั่นโลกแบบจริงจัง ถึงขั้นนั่งเก้าอี้ผู้คุมเกมในแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปได้แบบไม่มีใครกล้าเถียง!

ในงาน The Fashion Awards 2025 ที่จัดที่ London โดย British Fashion Council (BFC) เวทีนี้ไม่ได้เป็นแค่ที่รวมตัวของคนอังกฤษ แต่กลายเป็นที่ที่คนอังกฤษยึดแทบทุกรางวัลสำคัญไปเลย ลองดูรายชื่อนี้:

  • Jonathan Anderson คว้ารางวัล Designer of the Year เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน! (ย้ำว่า 3 ปีติด!)

  • Grace Wales Bonner ได้ Menswear Designer of the Year เป็นครั้งที่ 2

  • ส่วน Sarah Burton ก็คว้า Womenswear Designer of the Year จากงานของเธอที่ Givenchy ซึ่งเป็นถึงบ้านแฟชั่นระดับตำนานของฝรั่งเศส

ภาพรวมมันเลยไม่ได้เป็นแค่ “งานแจกรางวัล” ธรรมดา แต่กลายเป็นสัญญาณใหญ่ที่บอกว่า ดีไซเนอร์จากเกาะอังกฤษกำลังขยับจากเก้าอี้ “อินดี้เท่ๆ” ไปนั่งบนเก้าอี้ “ตัวคุมเกม” ใน maisons (บ้านแฟชั่น) ยักษ์ของยุโรปจริงๆ ที่สำคัญคือ นี่เป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า Creative Power ของอังกฤษมันสุดจริง!

🧐 ทำไม The Fashion Awards 2025 ถึงสำคัญเบอร์นี้?

เดิมที The Fashion Awards ถูกมองว่าเป็นเวทีเชิดชูดีไซเนอร์อังกฤษเป็นหลัก แต่ในช่วงหลายปีหลัง โดยเฉพาะหลังยุคโควิด-19 และ Brexit ที่ทำให้วงการแฟชั่นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เวทีนี้มันกลายเป็นเวทีที่สะท้อน “ทิศทางของทั้งอุตสาหกรรม” ไปแล้ว ลองดู 3 ชื่อหลักที่ถูกจับตามองที่สุดในปี 2025 นี้ แล้วจะเข้าใจเลย:

ดีไซเนอร์ รางวัลสำคัญ (TFA 2025) บทบาทปัจจุบันและอิทธิพล
Jonathan Anderson Designer of the Year (3 ปีซ้อน) คุมทัพทั้ง JW Anderson และ Loewe ล่าสุดยังถูกดึงตัวไปขึ้นเรือใหญ่ระดับ Dior อีกด้วย! (สะท้อนว่าบ้านแฟชั่นฝรั่งเศสก็เชื่อมือดีไซเนอร์อังกฤษแบบเต็มๆ)
Grace Wales Bonner Menswear Designer of the Year (ครั้งที่ 2) เจ้าของแบรนด์ Wales Bonner ผู้ผสมผสานกีฬา วัฒนธรรม และงานเทเลอริ่งอย่างมีชั้นเชิง เธอถูกแต่งตั้งให้ดูแลไลน์ Menswear ของ Hermès กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสาย Black คนแรกที่ขึ้นคุม maison ระดับโลกในตำแหน่งนี้ นี่คือการทำลายเพดานแก้วในวงการ!
Sarah Burton Womenswear Designer of the Year หลังจากสร้างตำนานกับ Alexander McQueen มายาวๆ เธอก็ถูกดึงตัวไปเป็น Creative Director ของ Givenchy แล้วก็ไม่ใช่แค่เปลี่ยนบ้าน แต่ยังคว้ารางวัลจากผลงานที่ Givenchy ได้ทันที เป็นการตอกย้ำว่าฝีมือเธอของจริง

 

เมื่อดูหน้ารางวัลหลักๆ จะเห็นชัดว่า “เสียงส่วนใหญ่” ของปีนี้เทไปที่ฝั่งอังกฤษแบบเต็มข้อ นี่คือสิ่งที่ฝั่งอเมริกาเองยังทำไม่ได้ชัดเท่า

🗺️ ไม่ได้มีแค่สามคน: กองทัพดีไซเนอร์อังกฤษในบ้านยุโรป

ที่น่าสนใจกว่าคือ Anderson, Wales Bonner, Burton ไม่ได้เป็นเคสเดียวโดดๆ แต่มันแทบจะกลายเป็น “เทรนด์” ของทั้งทศวรรษนี้แล้ว เพราะตอนนี้ maisons ยุโรประดับท็อปดึงดีไซเนอร์อังกฤษไปนั่งเก้าอี้คุมทิศทางเพียบ จนเรียกได้ว่าเป็น “New British Invasion” ในโลกแฟชั่นเลยก็ว่าได้ เช่น:

  • Louise Trotter – เปิดตัวสวยๆ ที่ Bottega Veneta

  • Peter Copping – ขึ้นคุม Lanvin

  • Maximilian Davis – รีเฟรชภาพ Ferragamo จนกลับมาปังอีกครั้ง

  • Daniel Lee – ปั้นยุคใหม่ให้ Bottega Veneta จนดังระเบิด แล้วต่อด้วยการรีบูตแบรนด์คู่บ้านคู่เมืองอย่าง Burberry ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

พอเอามารวมกันจะเห็นว่า “ดีไซเนอร์สายอังกฤษ” กระจายตัวไปคุมดีไซน์ของแบรนด์ยุโรประดับไอคอนิกเต็มไปหมด และหลายคนก็ถูกยกให้เป็นตัวแทน “ยุคใหม่” ของแบรนด์เหล่านั้นด้วย พวกเขาไม่ได้แค่ไปทำงาน แต่ไป “เปลี่ยนเกม” เลยทีเดียว

🏫 ทำไมอังกฤษถึงปั้นดีไซเนอร์ระดับโลกได้เยอะขนาดนี้?

สื่อแฟชั่นทั่วโลกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัจจัยที่ทำให้อังกฤษกลายเป็น “โรงงานผลิตดีไซเนอร์ซูเปอร์สตาร์” คือ:

  1. โรงเรียนแฟชั่นที่โหดจริงไม่อวย:

    • London College of Fashion (LCF) และ Central Saint Martins (CSM) ถูกจัดอยู่ในลิสต์โรงเรียนแฟชั่นระดับท็อปของโลกแทบทุกปี

    • โดยเฉพาะ CSM ขึ้นชื่อเรื่องคัดคนโหดมาก รับน้อย เน้นผลักให้นิสิตกล้าดันไอเดียตัวเองแบบสุดทาง ไม่ต้องกลัวบ้า กลัวเพี้ยน ขอแค่มีลายเซ็นที่แข็งแรงและใหม่จริง

    • ศิษย์เก่าระดับตำนานก็เพียบ ตั้งแต่ Lee Alexander McQueen, John Galliano, Phoebe Philo, Riccardo Tisci ไปจนถึง Kim Jones (ที่เพิ่งพางาน Menswear ของ Dior ให้ปังสุดๆ) คือมันมี DNA ของความสุดโต่งและสตรองฝังอยู่ในระบบการศึกษาเลย

  2. วัฒนธรรม London ที่พร้อมให้ทดลอง:

    • London เป็นเมืองที่วัฒนธรรมซ้อนกันหลายเลเยอร์ ตั้งแต่สตรีตซีนเข้มๆ (อย่างย่าน Shoreditch) ดนตรี (จาก Punk, Grunge, Britpop) ซับคัลเจอร์หลากหลาย ไปจนถึงชนชั้นสูงแบบ Mayfair

    • สไตล์ “high-low mix” แบบจับ streetwear มาชนกับ tailoring เนี้ยบๆ หรือเอาเสื้อฟุตบอลมาปรับให้กลายเป็นชิ้นลักซ์ มันเลยเกิดขึ้นง่ายและดูเป็นธรรมชาติในบริบทของเมืองนี้ ดีไซเนอร์อังกฤษจึงไม่กลัวที่จะ “เล่น” กับความขัดแย้ง

  3. ระบบซัพพอร์ตจาก British Fashion Council (BFC):

    • BFC ไม่ได้แค่จัด The Fashion Awards แต่ยังมีทุน, mentorship, โปรแกรม incubation ช่วยดันดีไซเนอร์หน้าใหม่ให้ไปต่อได้ ไม่ใช่แค่ดังวูบเดียวแล้วหายไป ยกตัวอย่างโครงการ NewGen ที่เป็นเหมือนเวทีแจ้งเกิดของดีไซเนอร์เก่งๆ นับไม่ถ้วน ทำให้วงการแฟชั่นอังกฤษมีคนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดได้ตลอดเวลา

🛍️ จากรันเวย์สู่ตู้เสื้อผ้าเรา: ผลกระทบที่เห็นได้จริง

ดีไซเนอร์อังกฤษไม่ได้อยู่แค่บนแคตวอล์กหรูๆ แต่ยังส่งอิทธิพลมาถึงแฟชั่นที่เราใช้ในชีวิตประจำวันด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขา “คุมเกม” ได้อย่างแท้จริง เพราะงานของพวกเขาจับต้องได้จริง:

  • Jonathan Anderson x Uniqlo: แคปซูลคอลเลกชัน JW Anderson x Uniqlo ลากยาวมาเกือบสิบปีแล้ว และยังเป็นหนึ่งในไลน์ที่คนรอทุกซีซัน เพราะมันเอาเอกลักษณ์แบบอังกฤษๆ อย่าง knitwear สวยๆ, ลายสก็อต, ดีเทลเล็กๆ เท่ๆ มาแพ็กในราคาที่จับต้องได้ ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจแบรนด์ลักซ์ก็เข้าถึง “กลิ่นอาย” ของดีไซเนอร์ระดับโลกได้

  • Grace Wales Bonner x adidas Originals: คอลแลบนี้คือหนึ่งในพลังสำคัญที่ทำให้รองเท้า adidas Samba กลับมาบูมแบบถล่มโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันเป็นการผสมผสานชัดๆ ระหว่างสปอร์ตและ heritage จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ผู้ชาย/ผู้หญิงแฟชั่นแต่ชอบใส่รองเท้ากีฬาในชีวิตจริง” ที่ทุกคนต้องมีติดตู้

พอคนอังกฤษที่ขึ้นคุม maisons ยุโรปคิดอะไร โลก high-street ก็มักจะวิ่งตามในอีกไม่กี่ซีซันให้หลัง นี่แหละเหตุผลที่หลายคนบอกว่า “อังกฤษกำลังถือพวงมาลัยของทั้งอุตสาหกรรมอยู่เบาๆ”

🎯 สรุป: อังกฤษ “คุมทิศทาง” แฟชั่นโลกอยู่ไหม?

ถ้าตอบแบบสั้นๆ คือ ใช่ แต่ไม่ได้แปลว่ามีอังกฤษประเทศเดียวที่ทำทุกอย่างในโลกแฟชั่น

  • ใช่ เพราะตอนนี้ดีไซเนอร์อังกฤษกระจายอยู่บนเก้าอี้สำคัญๆ ของ maisons ระดับตำนาน ไม่ใช่แค่เป็นดีไซเนอร์เล็กๆ

  • ใช่ เพราะงานของพวกเขาส่งอิทธิพลลงมาถึงคอลเลกชันราคาจับต้องได้ที่เราใส่ทุกวัน ทำให้เราสามารถ dress แบบ “แฟชั่นนำ” ได้ง่ายขึ้น

  • ใช่ เพราะเวทีอย่าง The Fashion Awards 2025 ส่งสัญญาณชัดว่า “เสียงหลัก” ของยุคนี้มาจากฝั่งอังกฤษจริงๆ

สำหรับคนรักแฟชั่น คงเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากในการเฝ้าดูว่าต่อจาก Dior, Hermès, Givenchy แล้ว ดีไซเนอร์อังกฤษจะพาอุตสาหกรรมนี้หมุนไปทางไหนต่อในอีก 3–5 ปีข้างหน้า เตรียมตัวเสียเงินให้เทรนด์ใหม่ๆ ได้เลย!

💭 FAQ 3 ข้อ: เรื่องที่คนสงสัยเกี่ยวกับดีไซเนอร์อังกฤษในยุคนี้

Q1: ถ้าอยากอินกับสายอังกฤษ ควรเริ่มตามผลงานใครก่อนดี?

A: สามชื่อเบสิกที่ควรเริ่มคือ Jonathan Anderson (ดูทั้ง JW Anderson และ Loewe), Grace Wales Bonner (ดู Wales Bonner และคอลแลบกับ adidas) และ Sarah Burton (งานล่าสุดที่ Givenchy ที่มีกลิ่นอายความเป็น British Tailoring ชัดเจนขึ้น) แล้วค่อยต่อด้วยงานของ Maximilian Davis ที่ Ferragamo จะเห็นภาพรวมของ “ภาษาดีไซน์แบบอังกฤษ” ที่ไม่เหมือนใครชัดขึ้นมาก

Q2: ดีไซเนอร์อังกฤษต่างจากดีไซเนอร์ฝรั่งเศสหรืออิตาลียังไง?

A: ถ้าจะแบ่งคร่าวๆ: ฝรั่งเศส มักเน้นความหรู Chic เรียบ แต่แพงทุกองศา เน้นความสมบูรณ์แบบ (Perfection) ส่วน อิตาลี ให้ฟีลงานคราฟต์ ความ Sensual และความเป็นครอบครัว (Heritage) ที่สำคัญมาก แต่ อังกฤษ จะเด่นเรื่อง “ความกล้าทดลอง” เอา street, subculture, ดนตรี, ประวัติศาสตร์ มาปั่นรวมกันจนกลายเป็นอะไรใหม่ๆ ที่ดู Intellectual (มีความคิด) แต่ยังสนุกกับการใส่ในชีวิตจริง และมักจะมีความ “ซน” แฝงอยู่เสมอ

Q3: ถ้าไม่ได้เป็นสายแฟชั่นมืออาชีพ แค่คนทั่วไปสนใจแต่งตัว เราควรโฟกัสดีไซเนอร์อังกฤษไหม?

A: โฟกัสไว้ไม่เสียหายเลยครับ เพราะไอเดียของดีไซเนอร์กลุ่มนี้มักจะถูกส่งต่อไปยังแบรนด์ mass และ fast fashion อยู่แล้ว การดูคอลเลกชันของพวกเขาเหมือนดู “พิมพ์เขียวของเทรนด์ใน 1–2 ปีข้างหน้า” และช่วยให้เราเลือกซื้อเสื้อผ้าได้ฉลาดขึ้น ไม่ต้องตามเทรนด์แบบงงๆ แถมพวกคอลแลบกับแบรนด์อย่าง Uniqlo หรือ adidas ก็ทำให้เราได้ Feel ของดีไซเนอร์ระดับโลกในราคาที่สบายกระเป๋าด้วย

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here