ถ้าพูดถึงนาฬิกาที่ “หลุดโลก” หรือ “หลุดกรอบ” ของจริงในวงการกลไก ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงสองชื่อนี้: ตระกูล Freak ของ Ulysse Nardin ที่เล่นใหญ่ตัดหน้าปัดตัดเข็มทิ้งหมด กับแบรนด์สายยานแม่สุดล้ำอย่าง URWERK ที่ดังเรื่องระบบบอกเวลาด้วย “ดาวเทียม” หรือ satellite hours พอสองสายอินดี้ระดับท็อปของวงการนี้ประกาศจับมือกันออกเรือนใหม่ชื่อ UR-FREAK โลกนักสะสมที่ชอบความแปลกใหม่ก็แทบจะลงไปกองกับพื้นเลย เพราะนี่คือครั้งแรกที่การคอลแลบมันไปไกลกว่าแค่เปลี่ยนสีหน้าปัดแล้วแปะโลโก้เพิ่มเฉย ๆ แต่มันคือการเอา “กลไกซิกเนเจอร์” ของทั้งสองบ้านมาผสานกันจริง ๆ!
UR-FREAK เนี่ยใช้ดีไซน์พื้นฐานมาจากตัวเรือน Freak ONE ขนาด 44 มม. แต่พอใส่ความเป็น URWERK เข้าไป มันก็เปลี่ยนลุคไปเลย ตัวเคสมาในวัสดุไทเทเนียมสีเทาเข้มแบบ sandblasted (ผิวทราย) ตามสไตล์สุดเท่ของ URWERK เป๊ะ ๆ องค์ประกอบหลักที่ยังคงกลิ่น Freak ไว้ชัดเจนคือการเป็นเรือนทรงกลมแบบไร้เม็ดมะยม (crownless) การตั้งเวลาและการขึ้นลานเลยต้องทำผ่านขอบ bezel และฝาหลังแทน แต่พวกรายละเอียดอย่างเหลี่ยมมุมของ bezel และเส้นสายบนฝาหลังนี่คือดีเอ็นเอของ URWERK แบบชัดเจนโคตร ๆ โดยเฉพาะไฮไลต์สีเหลืองไฟฟ้า Pantone 395 C บนสเกลนาทีและปลายเข็มชี้ ที่ทำให้เรือนนี้ดูล้ำจนเหมือนเป็น gadget จากหนังไซไฟเรื่องดัง ๆ เลยทีเดียว
สองสายหลุดกรอบที่โคจรมาพบกัน
Ulysse Nardin เองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือผู้บุกเบิกเรื่อง marine chronometer (นาฬิกาจับเวลาในเรือเดินสมุทร) และเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่กล้าเอาวัสดุอย่าง “silicon” (ซิลิคอน) เข้ามาใช้ในกลไกนาฬิกา ซึ่ง Freak รุ่นดั้งเดิมในปี 2001 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการนาฬิกาหรูเลยก็ว่าได้ เพราะมันปฏิวัติการบอกเวลาด้วยการตัดเข็มนาฬิกาทิ้ง แล้วใช้ตัวกลไกทั้งชุดหมุนรอบหน้าปัดเพื่อบอกเวลาแทน แถมยังใช้ silicon escapement (ชิ้นส่วนกลไกซิลิคอน) แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งต่อมาแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็แห่กันทำตาม
ส่วน URWERK ก่อตั้งขึ้นปลายยุค 90s มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “wandering hour satellite display” คือแทนที่จะใช้เข็มธรรมดา พวกเขาใช้ “ดิสก์ชั่วโมง” หลายชุดหมุนวนไปตามสเกลนาทีด้านล่าง จุดขายของ URWERK เลยไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการดู “การเคลื่อนที่ของกลไก” ต่างหาก เหมือนเราใส่ประติมากรรมเคลื่อนไหวสุดล้ำไว้บนข้อมือ
UR-FREAK เลยไม่ใช่แค่การเอาเคส Freak มาใส่หน้าปัดลาย URWERK แต่เป็นโปรเจกต์ที่ร่วมกันพัฒนามานานถึง 3 ปี สร้างชิ้นส่วนใหม่กว่า 150 ชิ้น เพื่อให้กลไกของสองแบรนด์ “รวมร่าง” กันได้อย่างลงตัวจริง ๆ จนได้คาลิเบอร์ใหม่ชื่อ UN-241 ที่ถูกออกแบบร่วมกันจากฐานกลไก Freak ONE แล้วอัดระบบ satellite hours ของ URWERK ลงไปในคารูเซลที่หมุนได้ทั้งชุด มันคือการยกเอาหัวใจของสองแบรนด์มาผ่าตัดใส่กันแบบเนียนกริ๊บ!
ดีไซน์ตัวเรือน: Freak ในฟอร์ม URWERK ในฟังก์ชัน
ตัวเรือนขนาด 44 มม. อาจจะฟังดูใหญ่บึ้ม แต่ด้วยความที่มันทำจากไทเทเนียม sandblasted น้ำหนักเลยเบามาก ทำให้เวลาใส่จริงบนข้อมือไม่ได้รู้สึกว่าใหญ่โตหรือโหดอย่างที่ตัวเลขบอก silhouette โดยรวมคือ Freak ONE ชัดเจน แต่ดีเทลของขอบ bezel ที่มีร่องฟันและงานฝาหลัง รวมถึงเหลี่ยมคมบางจุดก็ส่งเสียงของ URWERK ออกมาได้ชัดเจนไม่แพ้กัน
จุดที่โคตรจะเท่และเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์ Freak ก็คือการไม่มีเม็ดมะยม (crown) การตั้งเวลาทำผ่านขอบ bezel โดยมีก้านล็อกเล็ก ๆ ตำแหน่งหกนาฬิกาที่สลักว่า “UR-FREAK” ให้ดึงขึ้นแล้วหมุน bezel เพื่อเลื่อนเวลา ส่วนการขึ้นลานใช้การหมุนฝาหลังแทน ข้อดีคือเวลามองด้านข้าง เรือนนี้จะดูเพรียว ลื่น และ futuristic สุด ๆ เพราะไม่มีเม็ดมะยมมาขัดสายตา แถมยังกันน้ำได้ 30 เมตร ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่ได้ถึงขั้นเอาไปดำน้ำลึกได้แต่ก็ใส่เดินตากฝนได้สบาย ๆ
สายยางสีเหลืองสดใสสไตล์ ballistic texture คือส่วนที่ทำให้เรือนนี้โดดเด่นสะดุดตาแบบมองมาไกล ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ใช่นาฬิกาทั่วไปแน่นอน แม้จะมีสายยางสีดำให้เปลี่ยนสำหรับคนที่ไม่ชอบสีฉูดฉาด แต่ส่วนใหญ่นักสะสมจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สีเหลืองนี่แหละตัวจริง” เพราะมันเข้ากันได้ดีกับรายละเอียดสีเหลืองไฟฟ้าบนหน้าปัดอย่างลงตัวแบบหาอะไรมาเทียบยาก
กลไก UN-241: หัวใจ Freak ผสานสมอง URWERK
หัวใจสำคัญของ UR-FREAK คือกลไกอัตโนมัติ UN-241 ที่เกิดจากการต่อยอดกลไก UN-240 ใน Freak ONE แต่เพิ่มระบบ satellite hours ของ URWERK เข้าไป กลไกนี้ใช้ คารูเซล ที่หมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบทุก ๆ 3 ชั่วโมง โดยมีแขนสามก้าน แบกดิสก์ชั่วโมงทรงโดมไว้ เวลาที่แขนแต่ละก้านเดินมาถึงด้านขวาของหน้าปัด ดิสก์ชั่วโมงจะมาเรียงตัวพอดีกับสเกลนาที 0-60 ให้เราอ่านเวลาได้แบบง่าย ๆ แต่มันโคตรมีลูกเล่นและดูตื่นตาตื่นใจมาก ๆ
ตรงกลางหน้าปัดคือหัวใจสำคัญอีกอย่าง นั่นคือออสซิลเลเตอร์ซิลิคอนขนาดใหญ่กว่าปกติประมาณ 25% ซึ่งหมุนทำงานตลอดเวลา ทำหน้าที่คล้าย ทัวร์บิญอง/คารูเซล ช่วยเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนของการเดินกลไกให้แม่นยำขึ้นไปอีก กลไกยังใช้ DIAMonSil ซึ่งเป็นวัสดุซิลิคอนเคลือบเพชรสำหรับชิ้นส่วน escapement ทำให้แทบไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน และทนทานต่อการสึกหรอสูงมาก นี่คือเทคโนโลยีที่ Ulysse Nardin พัฒนาต่อเนื่องมาตั้งแต่ Freak รุ่นแรก และเอามาอัปเกรดแบบสุด ๆ ในเรือนนี้
นอกจากความล้ำของวัสดุแล้ว พลังงานสำรองของกลไกยังโหดมากอยู่ที่ประมาณ 90 ชั่วโมง ถือว่าเยอะมากสำหรับกลไกที่ต้องหมุนทั้งดิสก์และคารูเซลแบบนี้ เคล็ดลับอยู่ที่ระบบขึ้นลานอัตโนมัติแบบ Grinder ของ Ulysse Nardin ที่ใช้เฟรมสี่ก้านจับการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้อมือ แล้วเปลี่ยนแรงสั่นเป็นพลังงานเข้าสปริงลานได้มีประสิทธิภาพกว่าระบบโรเตอร์ปกติถึงเกือบสองเท่า แค่ใส่เดินไปมาในออฟฟิศทั้งวันก็พอให้กลไกเดินแบบไม่มีหยุดง่าย ๆ
อ่านเวลายังไง – ยุ่งแต่ไม่งง
หลายคนที่เห็นแวบแรกอาจจะคิดว่า “อ่านเวลาไม่เป็นแน่ ๆ” แต่จริง ๆ แล้ว UR-FREAK อ่านง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย แค่เรามองไปที่แขน satellite ที่กำลังอยู่บนสเกลนาทีด้านขวา เราจะเห็นตัวเลขชั่วโมงดิจิทัลบนดิสก์ พร้อมลูกศรสีเหลืองชี้ไปที่ตัวเลขนาทีบนสเกลโค้ง 0-60 ยกตัวอย่าง ถ้าเห็นเลข 5 อยู่ตรงลูกศร แล้วลูกศรชี้ที่เลข 30 ก็แปลว่าเวลา 5:30 น. แค่นั้นเอง ส่วนแขนอื่น ๆ ก็จะหมุนเตรียมเข้าคิวอยู่ด้านบน ให้เราเห็นการเคลื่อนไหวสุดล้ำตลอดเวลา ความรู้สึกเวลาเฝ้าดูมันหมุนคือเหมือนได้ดู installation art เล็ก ๆ บนข้อมือ เหมาะกับคนที่ชอบนั่งมองกลไกทำงานเพลิน ๆ เป็นที่สุด
ราคากับจำนวนผลิต – ของเล่นสายสะสมจริงจัง
ด้วยความเป็นโปรเจกต์ของอินดี้สายจัดหนัก แถมเทคโนโลยีก็อัดแน่นขนาดนี้ ราคาของ UR-FREAK เลยอยู่ที่ราว CHF 100,000 (ยังไม่รวมภาษี) หรือประมาณ 4.1 ล้านบาทไทยบวกลบ ตามเรทค่าเงิน และที่สำคัญคือผลิตจำกัดแค่ 100 เรือนทั่วโลกเท่านั้น โอกาสที่เราจะเห็นบนข้อมือคนทั่วไปในชีวิตประจำวันจึงยากมาก ๆ อารมณ์คือทำมาเพื่อนักสะสมสายฮาร์ดคอร์ที่หลงใหลในนาฬิกา independent high-end horology โดยเฉพาะเลยจริง ๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ UR-FREAK เลยเป็นนาฬิกาที่เรา “อยากลองได้เห็นตัวจริงสักครั้งในชีวิต” มากกว่า
ทำไม UR-FREAK ถึงสำคัญต่อวงการ
ในยุคที่นาฬิกาคอลแลบกันเยอะจนบางทีก็รู้สึกเบื่อ ๆ UR-FREAK คือตัวอย่างชั้นดีของคำว่า “collaboration ที่มีความหมาย” เพราะทั้งสองแบรนด์ไม่ได้มาแค่แชร์โลโก้ แต่เอา signature ของแต่ละฝั่งมาหลอมรวมเป็นกลไกใหม่ที่ดูเนียนตา จนถ้าไม่เล่า ก็แทบดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนเริ่มไอเดียก่อน ทุกอย่างดูลื่นไหลและลงตัวเหมือนเกิดมาเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่แรก
มันยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของ Ulysse Nardin และ URWERK ในฐานะ “ห้องทดลอง” ของวงการ ที่กล้าพิสูจน์ว่าการลองของใหม่ ๆ ทั้งเรื่องดีไซน์ วัสดุ และการจัดวางกลไก ไม่ใช่แค่ลูกเล่น แต่สามารถผลักดันมาตรฐานใหม่ของการทำกลไก mechanical watch ได้จริง ๆ และแม้ว่า UR-FREAK จะเป็นของที่คนส่วนใหญ่มองไกล ๆ แต่แรงบันดาลใจจากเรือนแบบนี้แหละ ที่มักจะไปโผล่ในนาฬิกากระแสหลักในอีกหลายปีต่อมา สรุปง่าย ๆ ถ้าคุณเป็นสายชอบดูนาฬิกาแปลก ๆ UR-FREAK คือเรือนที่ต้องศึกษาไว้ในคลังความรู้ ส่วนถ้าเป็นสายสะสมตัวจริงที่พร้อมจ่ายหลักล้านเพื่อ “ศิลปะบนข้อมือ” เรือนนี้คือหนึ่งในไฮไลต์ของปีที่ห้ามมองข้ามจริง ๆ
FAQ 3 Topics
Q1: UR-FREAK ต่างจาก Freak รุ่นปกติยังไงบ้างเหรอ?
A1: หลัก ๆ เลยคือ UR-FREAK ใช้พื้นฐานตัวเรือนและแนวคิด Freak ที่เอากลไกทั้งชุดมาหมุนเพื่อบอกเวลาเหมือนกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “วิธีบอกเวลา” แทนที่จะเป็นแบบเดิม มันเปลี่ยนมาใช้ระบบ satellite hours ของ URWERK คือใช้ดิสก์ชั่วโมงหมุนไปตามสเกลนาทีแทน ทำให้กลไกตรงกลางเป็นลูกผสมที่รวมดีเอ็นเอของสองแบรนด์เข้าด้วยกันแบบสุด ๆ ไม่ใช่แค่แต่งสีหรือเปลี่ยนหน้าปัดเฉย ๆ
Q2: นาฬิกาหลักล้านแบบนี้เอามาใส่ใช้จริงในชีวิตประจำวันไหวไหม?
A2: ถ้าพูดถึงเรื่องความสบาย ต้องบอกว่าสบายกว่าที่คิดเยอะ เพราะมันเป็นไทเทเนียม sandblasted ทำให้น้ำหนักเบา และตัวเคสขนาด 44 มม. ก็โค้งเข้าข้อมือได้ดี แต่ด้วยความกันน้ำแค่ 30 เมตร และราคาหลักล้านบาท ทำให้ส่วนใหญ่คนที่เป็นเจ้าของจะเก็บไว้ใส่ในโอกาสพิเศษ หรือใส่ในวันที่ไม่ได้ต้องลุยหนัก ๆ มากกว่าจะเอามาใส่ลุยทุกวันแบบนาฬิกาทั่วไป
Q3: ทำไมราคาถึงสูงมากขนาดนี้ แล้วมันคุ้มค่าสำหรับใครกันแน่?
A3: ราคา CHF 100,000 เนี่ยมาจากหลายปัจจัยเลยครับ ทั้งการที่เป็นงานคอลแลบอินดี้ระดับท็อป กลไก UN-241 ที่ต้องออกแบบและพัฒนาใหม่ร่วมกัน มีการใช้วัสดุล้ำ ๆ อย่าง silicon + DIAMonSil และระบบขึ้นลาน Grinder ที่ซับซ้อน แถมยังผลิตจำกัดแค่ 100 เรือนทั่วโลกด้วย มันเลยคุ้มค่ามาก ๆ สำหรับนักสะสมที่ไม่ได้มองนาฬิกาเป็นแค่เครื่องบอกเวลา แต่ต้องการ “ผลงานศิลปะเชิงวิศวกรรม” ที่มีเรื่องราว เทคโนโลยี และความพิเศษในตัวมันเองครับ
