ถ้าพูดถึงวงการ K-pop แล้ว หลายคนคงนึกถึงความสวยงาม แสงสี เสียงเพลงที่ติดหู และบรรยากาศสดใสของไอดอลที่พาให้เราเต้นตามได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างก็เหมือนเหรียญสองด้าน เพราะในความเจิดจรัสนั้นก็มักมีอะไรที่แอบมืดมนซ่อนอยู่เสมอ และใน Episodes 9-10 ของ Namib เราก็ได้เห็นตัวอย่างชัดเจนถึงด้านมืดที่ค่อย ๆ โผล่มาให้เห็น จนบางครั้งแฟน ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า “นี่เรากำลังดูชีวิตจริงของไอดอลอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” เพราะมีหลายโมเมนต์ที่สะท้อนให้เห็นความจริงที่เจ็บปวดในวงการ K-pop ได้อย่างชัดเจน ชนิดที่บางคนอาจถึงกับช็อกไปเลยก็มี
วันนี้เราจะพาทุกคนมาส่อง 4 โมเมนต์ “ดาร์ก” จาก Namib ใน Episodes 9-10 กันแบบชัด ๆ พร้อมเมาท์มอยแบบอินไซต์ลึก ๆ ถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสิ่งที่วงการ K-pop มักต้องเผชิญอยู่เป็นประจำ ใครที่ยังไม่ได้ดู Episodes 9-10 ระวังสปอยล์เบา ๆ แต่ถ้าใจแข็งอยากอ่านต่อ ก็มาเลย!
1) แรงกดดันเรื่องภาพลักษณ์กับ “การไดเอทขั้นโหด”
เรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับศิลปิน K-pop และ Namib เองก็หนีไม่พ้นกับดราม่าเรื่องนี้ ใน Episodes 9-10 เราได้เห็นฉากที่สมาชิกบางคนต้องถูกสั่งให้ไดเอทอย่างจริงจัง ทั้งการถูกจำกัดอาหารจนแทบไม่ได้กินอะไรเลย หรือแม้แต่จะดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ ยังต้องระวัง กลัวว่าจะตัวบวมตอนขึ้นเวที บางครั้งผู้จัดการหรือสต๊าฟก็ตามจิกจนสมาชิกแต่ละคนเครียดหนัก
สิ่งที่แฟน ๆ ไม่ค่อยได้เห็นบนเวทีก็คือการต่อสู้กับมาตรฐานรูปร่างที่เข้มงวดมาก ด้านหน้าอาจจะเห็นสมาชิก Namib โบกมือยิ้มแย้ม แต่วินาทีที่กล้องปิดหรือซ้อมเสร็จ พวกเขาต้องรีบกลับมาควบคุมอาหารและบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายแทบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อใกล้คัมแบ็กหรือมีงานใหญ่อย่างรายการเพลง เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภาพลักษณ์สำคัญมากแค่ไหนในแวดวง K-pop
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเศร้าคือบางครั้งสมาชิกก็พลอยมีปัญหาสุขภาพจิตจากแรงกดดันเรื่องรูปร่าง ความเครียดสะสม สุดท้ายก็กลายเป็นวังวนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นแล้วก็แอบหวังว่าบริษัทจะปรับแนวทางดูแลศิลปินให้ดียิ่งขึ้น เพราะสุขภาพกายและใจของไอดอลก็สำคัญไม่แพ้กัน
2) ตารางงานสุดโหดและผลกระทบต่อสภาพจิตใจ
ใครที่ติดตาม K-pop มานานจะรู้ว่าตารางงานของไอดอลนั้นไม่เคยเบาเลย ไม่ว่าจะเป็นซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ออกรายการ ซ้อมคอนเสิร์ต ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาให้พักผ่อนอย่างจริงจัง ซึ่งใน Episodes 9-10 ของ Namib เราจะได้เห็นภาพที่สมาชิกรายหนึ่งเริ่มสติหลุดเพราะตารางงานที่แน่นมาก แทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ
สมาชิกคนดังกล่าวมีอาการอ่อนเพลียจนแทบยืนไม่อยู่ แต่ก็ยังฝืนขึ้นเวทีเพื่อไม่ให้แฟน ๆ ผิดหวัง บางครั้งต้องอัดวิตามินหรือกาแฟเข้าร่างกายเพื่อให้ตื่นตัวตลอดเวลา แต่ลึก ๆ แล้วสภาพจิตใจกลับทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ เริ่มมีอาการวิตกกังวล และกดดันตัวเองว่า “ห้ามพลาด ห้ามป่วย ห้ามหมดแรง” เพราะถ้าล้มลง คนอื่นในวงก็จะเดือดร้อนไปด้วย
บางฉากก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทุกอย่างมันคือธุรกิจ แฟน ๆ อาจจะมองว่าเป็นสปอตไลต์สวย ๆ แต่นี่คือการวิ่งมาราธอนที่ไม่มีเส้นชัยแน่นอน หากใครไม่แข็งแรงพอ หรือบริษัทไม่มีมาตรการดูแลที่ดีจริง ๆ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงในวงการ K-pop ได้อย่างตรงไปตรงมา
3) ความบาดหมางและการแข่งขันระหว่างเมมเบอร์
อีกหนึ่งด้านมืดที่หลายคนอาจจะไม่เคยคาดคิดว่ามันจะโหดร้ายขนาดนี้ก็คือ “การแข่งขันภายในวง” นั่นเอง เพราะแม้จะอยู่ในวงเดียวกัน แต่ในบางครั้งค่ายเพลงหรือต้นสังกัดก็อาจผลักดันเมมเบอร์บางคนมากกว่า ทำให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองถูกลดความสำคัญลง
ใน Episodes 9-10 ของ Namib เราจะเห็นเหตุการณ์ที่สมาชิกคนหนึ่งได้รับโอกาสไปออกรายการเดี่ยว ทำให้เมมเบอร์อีกคนเกิดอาการน้อยใจ รู้สึกว่าตนเองถูกมองข้าม เพราะถึงจะทำงานหนักแค่ไหน แต่สุดท้ายค่ายก็ยังสนใจแต่คนที่มียอดแฟนติดตามบนโซเชียลเยอะกว่า เหตุการณ์นี้สร้างความบาดหมางเล็ก ๆ ในหมู่สมาชิก ที่บางครั้งก็ลุกลามจนกลายเป็นระเบิดเวลา
สิ่งนี้เป็นปัญหาสุดคลาสสิกในวงการ K-pop ที่เมื่อไหร่คนหนึ่งได้รับความนิยมมากกว่า ก็จะเกิดแรงกดดันให้อีกคนต้องพยายามอัพเกรดตัวเองให้ทัน หรือแม้แต่พยายามทำตัวให้โดดเด่นขึ้นเพื่อที่จะไม่ถูกลืม ซึ่งในมุมแฟน ๆ ก็อาจจะมองว่าความสามารถของทุกคนต่างก็มีจุดแข็งคนละแบบ แต่ในโลกความเป็นจริง สปอตไลต์ไม่ได้ตกลงมาที่ทุกคนเท่า ๆ กันเสมอไป
4) การตลาดแบบ “จัดฉาก” และภาพลักษณ์หลอก ๆ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คือประเด็นการตลาดที่พยายามจะสร้างภาพลักษณ์บางอย่างให้กับวงหรือเมมเบอร์ เพื่อให้ขายได้หรือเป็นกระแสมากขึ้น ใน Episodes 9-10 เราจะเห็นฉากที่ Namib ถูกค่ายบังคับให้แสดงความสัมพันธ์เมมเบอร์แน่นแฟ้น เหมือนรักใคร่กลมเกลียวเป็นครอบครัวสมบูรณ์แบบ ทั้งที่เบื้องหลังอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดฉาก “บังเอิญเจอแฟนคลับ” หรือ “ปาฏิหาริย์ที่ศิลปินเปิดใจ” ทั้ง ๆ ที่แท้จริงวางสคริปต์กันไว้หมดแล้ว ฉากเหล่านี้ทำเอาคนดูอย่างเรา ๆ รู้สึกขนลุกและตาสว่างไปพร้อม ๆ กัน เพราะมันบอกเป็นนัยว่าในวงการ K-pop มีหลายอย่างที่ถูกจัดการให้ดูดี ดูเป็นเทพนิยาย ส่วนความจริงอาจจะไม่หวานเหมือนในฝัน
เรื่องการตลาดและภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่ “ต้องมี” ในวงการเพลงเกาหลีมานานแล้ว แต่ Namib ใน Episodes 9-10 ทำให้เห็นกันแบบโต้ง ๆ เลยว่า ถ้าอยากให้วงดัง ก็ต้องลงทุนสร้างเรื่อง สร้างโมเมนต์หวาน ๆ หรือกระทั่งดราม่าที่ตั้งใจปล่อยเพื่อเรียกกระแส เหมือนกับว่าชีวิตจริงของไอดอลไม่ได้มีอะไรที่ “จริง” เลย นอกจากความพยายามจะยิ้มให้ตรงตามบท
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากด้านมืดของ K-pop
แม้ในซีรีส์หรือเรื่องราวของ Namib จะมีความดราม่าอยู่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในวงการ K-pop อยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ตารางงานที่โหดร้าย ความสัมพันธ์ในวงที่บางครั้งก็มีช่องว่าง และการตลาดที่ต้องสร้างภาพอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายครั้งเราในฐานะแฟนคลับหรือคนดูภายนอก ก็อาจจะเผลอมองข้ามไป เพราะมัวแต่โฟกัสที่ความสวยงามบนเวที
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นว่าไอดอลเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความรู้สึก มีสุขภาพกายและใจที่ต้องการการดูแล หากเมมเบอร์หรือศิลปินคนไหนออกมาแชร์ความยากลำบาก เราก็ควรฟังและให้กำลังใจมากกว่าที่จะตัดสินจากมุมมองของเราเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ การตระหนักถึงด้านมืดของวงการ K-pop ยังอาจจะทำให้หลายคนมีสติในการเสพย์ข่าวหรือกระแสต่าง ๆ มากขึ้น ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือตัวสร้างกระแส ใครกันที่อยู่เบื้องหลังข่าวฉาวหรือโมเมนต์หวาน ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เบื้องหลังเวทีอันอลังการ ก็เป็นแค่โลกแห่งธุรกิจที่ทุกฝ่ายพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
สรุปส่งท้าย
Episodes 9-10 ของ Namib ได้เผยให้เห็นสี่โมเมนต์สำคัญที่สะท้อนด้านมืดของวงการ K-pop อย่างชัดเจน ตั้งแต่การไดเอทสุดโหด ตารางงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด แข่งขันภายในวง ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่ถูกจัดฉากอย่างตั้งใจ แม้จะดูแล้วรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ถือเป็นแง่มุมที่น่าสนใจ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังความเป๊ะ ความเนี้ยบของไอดอล มีความยากลำบากและความเจ็บปวดแอบซ่อนอยู่
ในฐานะแฟนคลับ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการสนับสนุนศิลปินในทางที่สร้างสรรค์ และคอยเป็นห่วงพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจหรือเคารพพื้นที่ส่วนตัวของศิลปินด้วย หวังว่าต่อไป บริษัทค่ายเพลงต่าง ๆ จะเริ่มหันมาใส่ใจสวัสดิภาพของไอดอลมากขึ้น เพื่อให้ทั้งแฟน ๆ และตัวศิลปินได้มีความสุขไปด้วยกันอย่างแท้จริง
ในโลกที่ทุกอย่างถูกสร้างภาพให้ดูดี การได้เห็นส่วนที่ “ไม่สวยงาม” ก็อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจว่า ในวงการ K-pop นั้น มีทั้งความฝันและความจริงที่โหดร้ายผสมปนเปกันไป และการที่ Namib นำมาเล่าให้เห็นชัดใน Episodes 9-10 ก็อาจเป็นอีกหนึ่งข้อความเตือนใจให้ใครหลายคนได้ตาสว่างว่า “โลกบันเทิง” อาจไม่ได้น่าหลงใหลเสมอไปอย่างที่เราเคยเชื่อ