ใครที่ติดตามวงการแฟชั่นมานานคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ Kim Jones นักออกแบบคนเก่งผู้เคยฝากผลงานไว้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกมาก่อน และล่าสุดกับบทบาท Artistic Director แห่ง Dior ที่ทำเอาแฟนแฟชั่นทั่วโลกต่างจับตามอง เพราะทุกครั้งที่ Kim Jones ปล่อยคอลเล็กชันใหม่ออกมา เราก็มักจะได้เห็นมุมมองสร้างสรรค์แปลกใหม่ที่ไม่กลัวฉีกกรอบเดิม ๆ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน กับการปรากฏตัวเพื่ออวดคอลเล็กชัน Fall/Winter 25 ที่มาพร้อมแนวทางใหม่สุดดราม่า เรียกว่าทำเอาผู้ชมตื่นเต้นมาก ๆ เพราะเสื้อผ้า แอคเซสซอรี และการตกแต่งโชว์ต่าง ๆ ล้วนสะท้อนถึงสปิริตอันเข้มข้นและกล้าหาญในแบบของ Kim Jones ตัวจริง
จุดเด่นที่หลายคนจับตามองคือการผสมผสาน DNA ของ Dior ที่หรูหรา คลาสสิก แต่ไม่ทิ้งความอ่อนหวาน กับกลิ่นอายโมเดิร์นแบบ Kim Jones ที่ชวนให้รู้สึกถึงความสตรีทและความร่วมสมัยมากขึ้น และยังสะท้อนวัฒนธรรมป็อปของยุคปัจจุบันได้อย่างแยบยล นี่จึงไม่ใช่ Dior ในลุคเดิม ๆ ที่คุ้นเคย แต่มันเป็น Dior เวอร์ชันใหม่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแฟชั่นที่ถูกยกระดับไปอีกสเต็ป
แน่นอนว่าสิ่งที่ Kim Jones ค่อนข้างให้ความสำคัญคือการสอดแทรกเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของ Dior ตั้งแต่ยุค Christian Dior ผู้ก่อตั้ง ลงรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เช่น การใช้รูปทรง New Look ที่เป็นมรดกของ Dior หรือการหยิบลายพิมพ์ซิกเนเจอร์เก่า ๆ มารีเมคกับสีสันใหม่ที่ดูเข้มขึ้น สดใสขึ้น เพื่อสร้างกลิ่นอายของอนาคต แต่ก็ยังไม่ทิ้งรากเหง้าความหรูหราและความเป็น French Couture ไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน
สำหรับลุคโดยรวมในซีซัน Fall/Winter 25 นี้ เราจะได้เห็นความโดดเด่นในโทนสีเข้ม เช่น สีดำ สีเทา สีกรมท่า ผสานเข้ากับสีสดอย่างสีม่วงเบอร์กันดี สีแดงเบอร์กันดี หรือแม้แต่สีเงินเมทัลลิกในบางลุค ซึ่งสีเหล่านี้ช่วยสร้างอารมณ์ดราม่าให้กับเสื้อผ้าได้อย่างดี แต่ก็ยังแอบมีความเรียบโก้ในสไตล์ Dior ไม่ว่าจะเป็นเดรสตัวยาวทรงเอที่ใช้ผ้าเนื้อดี มีดีเทลระบายแบบคลาสสิก หรือชุดกางเกงผ้าวูลทรงหลวมที่นำไปจับคู่กับโค้ทตัวยาวเบลเซอร์ เสริมด้วยดีเทลโลหะเล็ก ๆ ตามปกคอเสื้อและกระเป๋า ให้ลุคที่ดูเท่และโฉบเฉี่ยวในเวลาเดียวกัน
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการออกแบบในครั้งนี้ คือการเล่นกับวอลลุ่มและโครงสร้างเสื้อผ้าที่สามารถแปลงร่างได้ Kim Jones ดูจะพิถีพิถันเป็นพิเศษกับเทคนิคการตัดเย็บและการเลือกผ้า ซึ่งบางชุดสามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ด้วยการรูดซิปหรือผูกเชือก จนกลายเป็นชุดที่มีฟังก์ชันหลากหลาย เรียกว่าชุดเดียวใส่ได้หลายลุค เหมาะกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา นี่เป็นกิมมิคที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับแฟชั่นยุคนี้ที่มองหาความยั่งยืนและความคุ้มค่า
ยิ่งไปกว่านั้น Kim Jones ยังสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการหยิบวัสดุและเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในคอลเล็กชันอย่างไม่กลัวกล้า ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอสามมิติ ผ้าเคลือบเงา หรือการปักลายที่ดูแฟนตาซีให้อารมณ์เหนือจริงในบางลุค บางชิ้นมีการประดับคริสตัลหรือฮาร์ดแวร์โลหะในตำแหน่งที่ไม่คาดคิด เพื่อสร้างจุดโฟกัสให้กับการแต่งตัว และยังปลดปล่อยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ออกมาแบบเต็มสูบ
ในส่วนของแอคเซสซอรีก็ไม่ธรรมดา กระเป๋า Dior แบบคลาสสิกอย่าง Saddle หรือ Lady Dior ถูกปรับโฉมใหม่ให้เข้ากับธีมดราม่า โดยการเพิ่มแพตเทิร์นลายปักที่ดูแฟนตาซี หรือเพิ่มดีเทลฮาร์ดแวร์เมทัลลิกที่โดดเด่นขึ้น บางใบมากับสีแบบไล่โทนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเสริมให้ชุดที่ใส่ดูมีคาแรกเตอร์และได้สไตล์ดุดันมากยิ่งขึ้น
และถึงแม้จะเป็นคอลเล็กชัน Fall/Winter แต่ Kim Jones ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่เสื้อผ้ากันหนาวหรือเสื้อโค้ทหนา ๆ ธรรมดา ๆ เพราะเราจะได้เห็นเลเยอร์ที่ใส่เล่นกับพื้นผิว อย่างเช่น สเวตเตอร์ถักโอเวอร์ไซส์ใส่ทับเชิ้ตปกสูง แล้วคลุมด้วยแจ็คเก็ตหนังทรงครอป อีกทั้งยังมีการจับคู่ไอเท็มที่ดูขัดแย้งกันอย่าง กระโปรงยาวผ้าพลิ้วกับแจ็คเก็ตนักบินทรงบอมเบอร์ แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานสไตล์ที่ต่างขั้ว ก็สามารถสร้างลุคที่สนุกและมีเอกลักษณ์ได้
นอกจากเสื้อผ้าแล้ว บรรยากาศในโชว์ยังถูกดีไซน์ให้ออกมาล้ำสมัย แต่ก็แฝงกลิ่นอายโรแมนติกในแบบ Dior ที่หลายคนตกหลุมรัก ตั้งแต่การเลือกใช้ฉากหลังสถาปัตยกรรมแบบเรียบหรู ไปจนถึงดนตรีประกอบที่สร้างบรรยากาศเข้มข้นและดราม่า รับกับชุดที่นำเสนอได้อย่างพอดิบพอดี เชื่อว่าใครที่ได้ชมโชว์ครั้งนี้แบบเต็ม ๆ จะต้องประทับใจและอาจจะถอนตัวไม่ได้ง่าย ๆ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือกระแสตอบรับจากเซเลบริตี้และสื่อแฟชั่นที่มาร่วมชมโชว์กันแน่นขนัด บางคนถึงกับเอ่ยปากว่านี่เป็น “ยุคใหม่ของ Dior” ที่จริง ๆ แล้วเริ่มเห็นร่องรอยตั้งแต่ Kim Jones เข้ามารับตำแหน่ง แต่คอลเล็กชันนี้ดูจะเด่นชัดและแตกต่างออกมาอย่างสุดขีด จนสามารถนิยามได้ว่าเป็น “New Approach” หรือแนวทางใหม่ที่ผลิบานเต็มที่ โดยไม่ลืมรากเหง้าเดิมที่ทำให้ Dior เป็น Dior
ที่น่าทึ่งคือแนวทางการตลาดและการนำเสนอผลงานของ Kim Jones ดูจะเข้ากับโลกยุคโซเชียลได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจบโชว์ เหล่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์และแฟชั่นบล็อกเกอร์ต่างพากันลงภาพและวิดีโอไฮไลต์ชุดต่าง ๆ ในทันที มีการพูดถึงรายละเอียดแต่ละชุด รีวิวกระเป๋า แอคเซสซอรี หรือแม้แต่เมคอัพลุคของนางแบบและนายแบบ จนเกิดเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว
หากลองมองย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า Kim Jones มีความสามารถพิเศษในการทำให้แบรนด์ที่ตัวเองเข้าไปดูแลเป็นที่สนใจในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มแฟชั่นนิสต้า แต่ยังขยายไปสู่คนทั่วไปที่เมื่อเห็นผลงานแล้วรู้สึกว่ามัน “เท่” และ “ใช่” เพราะเขาสามารถหยิบจับความร่วมสมัยมาใส่ในงานดีไซน์ได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับศิลปินหรือแบรนด์อื่น ๆ แบบคอลแลบ (Collaboration) หรือจะเป็นการนำวัฒนธรรมสตรีทหรือสไตล์สปอร์ตมาผสมในเสื้อผ้าลักชัวรี ทำให้เกิดการพูดถึงในวงกว้างได้ตลอด
สำหรับแฟน ๆ ของ Dior หรือคนที่รักในงานดีไซน์ของ Kim Jones คอลเล็กชันนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าดีไซเนอร์คนนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง และยังคงมุ่งมั่นจะพา Dior ไปข้างหน้าในแบบที่ท้าทายกรอบเดิม ๆ แม้กระทั่งใครที่อาจจะไม่ได้ตามดีเทลแฟชั่นมากนัก ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะเราไม่ค่อยเห็นใครกล้าทำคอลเล็กชันที่ดู “เหนือจริง” ขนาดนี้ในแบรนด์ระดับสูงบ่อยนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างกลมกลืนกับภาพลักษณ์ของ Dior ยุคนี้ และช่วยยกระดับแบรนด์ไปอีกขั้น
เมื่อพูดถึงเรื่องราคาหรือความเอื้อมถึง ต้องยอมรับว่าผลงานของ Dior ย่อมมีราคาสูงตามมาตรฐานของแบรนด์ลักชัวรี แต่ก็ใช่ว่า Kim Jones จะห่างไกลจากผู้บริโภคทั่วไป เพราะหากสังเกตจะมีบางชิ้นที่สามารถนำมาใส่ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดที่มีลายกราฟิกเจ๋ง ๆ แจ็คเก็ตหนังดีไซน์เท่ ๆ หรือแม้กระทั่งกระเป๋าสะพายขนาดเล็กที่ใช้ได้ทุกวัน เหล่านี้คือตัวเลือกที่ Kim Jones พยายามเติมลงมาในแต่ละคอลเล็กชัน เพื่อให้ Dior ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงที่เอื้อมถึงได้ยาก แต่ยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ประจำวันได้ด้วย
สุดท้ายแล้ว แนวทางใหม่สุดดราม่าที่ Kim Jones ปล่อยออกมาในครั้งนี้ นับเป็นการประกาศศักดาว่า Dior ยังเป็นแบรนด์ที่กล้าทดลองและขับเคลื่อนวงการแฟชั่นระดับโลกได้เสมอ แม้จะผ่านยุคสมัยมากี่ยุคก็ตาม แต่ Dior ก็ไม่เคยสูญเสียความคลาสสิกและดีเอ็นเอที่แข็งแรงไปไหน ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความล้ำสมัยและกล้าบ้าบิ่นในแบบ Kim Jones ที่ใครเห็นเป็นต้องตาลุกวาว ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นในรายละเอียดหรือการแมตช์ชุดอันหลุดกรอบ สำหรับใครที่อยากติดตามงานดีไซน์ดี ๆ ที่ทั้งสวย เท่ และมีเรื่องราว คอลเล็กชันนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ
ในภาพรวม ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับ Dior ภายใต้การนำทีมของ Kim Jones ทุกก้าวที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เหมือนเป็นการปูทางไปสู่จุดที่ Dior จะก้าวสู่อนาคตได้อย่างสง่างาม พร้อมกับสร้างเทรนด์และแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในวงการแฟชั่น และแม้ว่าใครจะคาดหวังหรือวาดภาพเอาไว้แบบไหน เชื่อเถอะว่า Kim Jones จะทำให้คุณประหลาดใจได้เสมอ